เกษตรกรรม(อาจเป็น)ทางออกสำหรับวัยรุ่นยุคใหม่

เมื่อพูดถึงคำว่า “เกษตรกรรม” ใครหลายๆคนคงจะนึกถึงภาพที่ชาวนากำลังทำนาอย่างขยันขันแข็ง ขะมักเขม้น ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง ท่ามกลางท้องทุ่งนาที่แสนกว้างขวาง บ้างก็เห็นเหล่าชาวนาหลายคนมาช่วยกันดำนากลางทุ่งนาที่เขียวขจี หรือไม่ก็เห็นว่าเหล่าชาวนานั้นช่วยกันเกี่ยวข้าวรวงสีทองเต็มท้องทุ่ง หรือไม่อย่างนั้นก็จะเห็นชาวสวน ชาวไร่ทำงานท่ามกลางที่ของเขา ที่มีทั้งสวนไม้ผล ไม้ดอก ไม้ยืนต้น พืชเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้อาจจะอยู่ในความคิดของใครหลายๆคนเมื่อพูดถึงคำว่า “เกษตรกรรม”
ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านจนถึงปัจจุบันผมเชื่อได้ว่า การทำการเกษตรยังคงเป็นแบบเดิมอยู่ คำว่า “เกษตรแบบเดิม” หมายถึง การทำการเกษตรแบบดั้งเดิม ใช้แรงงานคนในการทำการเกษตร พึ่งพาอาศัยธรรมชาติในการเพาะปลูกพืช เช่น การทำนาจะต้องอาศัยแรงงานคนจำนวนมากในการทำนาทั้งในดำนาและการเกี่ยวข้าว หรือแม้กระทั่งชาวสวน อย่างเช่น การทำสวนลำไยก็ยังต้องอาศัยแรงงานจำนวนมากในการทำในทุกๆขั้นตอน ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการทำการเกษตรแบบดั้งเดิมในขั้นตอนการผลิตถือว่าเป็นขั้นตอนแรกๆเท่านั้น และในขั้นตอนถัดๆไปก็ใช้แรงงานจำนวนมากเช่นกัน ทั้งขั้นตอนกระบวนการแปรรูป การจำหน่าย การตลาดต่างๆ
ข้อบกพร่องหรือปัญหาของการทำเกษตรกรรมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คือ การที่เกษตรกรไม่สามารถนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาปรับใช้กับการผลิตผลผลิตได้ โดยการที่เกษตรกรไม่มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่ทันสมัยมาใช้ได้นั้น สามารถแยกออกมาได้ 2 ด้าน เพื่อสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายๆ การที่ตัวของเกษตรกรเองไม่สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ได้ อาจเป็นเพราะไม่ต้องนำมาใช้เพราะความเชื่อแบบเดิมๆไม่เปิดรับ หรืออาจเป็นเพราะไม่มีความรู้ ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้ในการทำเกษตร
แรงงานน้อย แต่100%
หมายถึง ในการทำการเกษตรแบบดั้งเดิมจริงๆนั้นล้วนต้องอาศัยแรงงานจำนวนในการทำงาน ตั้งแต่การเพาะปลูก การดูแลใส่ปุ๋ยกำจัดวัชพืชกำจัดศัตรูพืช การเก็บเกี่ยว รวมไปถึงการขายสู่ท้องตลาด แต่เมื่อพูดถึงการทำการเกษตรในอุดมคติ การใช้แรงงานจะต้องมีประสิทธิภาพ คำว่าประสิทธิภาพในที่นี้ คือ แรงงาน 1 คนสามารถทำอะไรๆได้หลายๆอย่าง เช่น สามารถทำการเพาะปลูกได้แต่เพาะเมล็ด ปลูก ดูแล และเก็บเกี่ยวได้ พร้อมทั้งตัวของแรงงานเองจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานที่ตัวเองทำได้อย่างกว้างขวางเพื่อนำมาพัฒนาการทำงานของตัวเอง (แรงงานในที่นี้เป็นได้ทั้งตัวของเกษตรกรเองหรือจะเป็นแรงงานที่ทำการจ้างงานมาก็ได้นะครับ)
เทคโนโลยีนี้สิสำคัญ
ในยุคสมัยนี้คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเรามีการใช้เทคโนโลยีกันอย่างกว้างขวางและค่อนข้างครอบคลุมทั่วถึงกับคนในทุกๆระดับ จึงไม่แปลกที่เกษตรกรยุคใหม่ๆจะนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเข้ามาใช้ในการทำการเกษตร ซึ่งแต่เดิมแล้วการเกษตรไม่ค่อยได้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากนัก ส่วนในการทำการเกษตรในอุดมคติของใครหลายๆคนนั้นได้วาดฝันว่าจะนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำการเกษตรอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น มีการนำแผงโซล่าเซลล์เข้ามาใช้ในการให้แสงสว่างแก่ต้นพืชเพื่อเร่งการเจริญเติบโต หรือใช้เพื่อทดแทนกระแสไฟฟ้าที่เราต้องจ่ายค่าไฟให้การไฟฟ้า (เป็นการเซฟค่าใช้จ่ายได้ด้วยนะเออ กำไรx2ไปโลด) และอีกหนึ่งตัวอย่าง คือ การใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติผ่าน Smartphone ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่ทันสมัยพอสมควรเราสามารถสั่งการผ่านโทรศัพท์มือถือของเราได้ตลอด อย่างเช่น เปิด-ปิดเวลาการรดน้ำ/ปุ๋ย วัดความชื้นของดิน ตรวจสอบอุณหภูมิในโรงเรือน เป็นต้น อีกทั้งการที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้สามารถจะปริมาณแรงงานลงได้ค่อนข้างมาก แรงงาน 1 คนทำนู่นทำนี่ได้เยอะขึ้น
ความสามารถในการเข้าถึงความรู้ ทักษะ เพื่อเมความสามารถในการทำงาน
การเข้าถึงความรู้ได้ง่ายถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำการเกษตรเพราะแต่เดิมนั้นเกษตรกรไม่สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้/เข้าถึงได้ยาก อาจเป็นเพราะปัจจัยอื่นๆที่ทำให้เข้าถึงแหล่งความรู้ได้ยาก แต่ในปัจจุบันการเข้าถึงความรู้ ข้อมูลต่างๆอยู่ใน “โทรศัพท์มือถือ” และ “อินเตอร์เน็ต” การเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้จึงทำได้ง่าย ทำให้การเรียนรู้ของเกษตรกรรุ่นใหม่ๆเป็นไปได้อย่างดี ทำให้การทำงานของเกษตรกรมีประสิทธิเพิ่มมากขึ้นและยักเพิ่มทักษะความรู้ใหม่อีกด้วย
การแปรรูปเป็นสิ่งที่เกษตรกร(ไทย)ยังขาด
เมื่อมรการผลิตแล้ว เราก็ต้องพูดถึงเรื่องการแปรรูปกันซักหน่อย เพราะว่าแต่เดิมแล้วเกษตรกรไทยยังขาดเรื่องการแปรรูปค่อนข้างมากเลยทีเดียว จึงอยากจะขอยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจง่ายๆนะครับ เมื่อก่อนนั้นเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราจะกรีดยางพารากันและนำน้ำนางไปขายกับพ่อค้าคนกลาง จนถูกกดราคาจนต่ำแทบติดดิน แต่ถ้าเกษตรกรสามารถแปรรูปน้ำยางดิบเองได้หละจะเกิดอะไรขึ้น ใช่ครับคุณคิดถูก จากการที่เราขายน้ำยางดิบได้แค่ กิโลละ10บาท(สมมตินะครับ) แปรรูปปุ๊บราคากลายเป็น 1000 บาท(อันนี้ก็สมมติ) ส่วนที่ว่าจะแปรรูปเป็นอะไรก็แล้วแต่ไอเดียของแต่ละคนเลยครับ แต่ที่เห็นได้บ่อยๆก็อย่างเช่น หมอนยางพารา (ราคาสูงใช้ได้เลย), รองเท้ายางพาราทำให้ดู Modern หน่อยราคาพุ่งแน่นอนครับ
การตลาดก็สำคัญไม่แพ้กัน
จากทั้ง 4 ข้อที่เราได้พูดถึงกันมานั้นจะขาดไม่ได้ถ้าไม่ได้พูดถึงเรื่องการตลาด เมื่อเราผลิต แปรรูปและสุดท้ายก็ขายสู่ตลาด การตลาดก็เป็นส่วนที่สำคัญด้วยเช่นกันเพราะการตลาดที่ดีจะทำให้เรารู้ว่าจะขายให้ใคร ขายยังไง ราคาเท่าไหร่ ขายที่ไหน มี promotion ให้ลูกค้าไหม ถ้าเรารู้ทุกอย่างการขายสินค้าของเราก็สามารถเดินไปได้และอยู่ในตลาดได้นานเลยทีเดียวหละครับ